วันอังคารที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

พลังงาน

พลังงาน คือ สิ่งที่ทำให้สิ่งต่างๆเคลื่อนที่ได้ ถ้าไม่มีพลังงาน ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น สิ่งใดก็ตามที่เคลื่อนไหวเติบโตหรือทำงานในทางใดทางหนึ่งย่อมมีพลังงานความร้อนเป็นพลังงานอย่างหนึ่ง เราอาจมองไม่เห็นความร้อนเคลื่อนที่แต่ความร้อนทำให้โมเลกุล เคลื่อนที่เร็วขึ้น พลังงานอาจถูกเก็บไว้ได้ เช่น พลังงานอยู่ในก้อนถ่านหิน ในกล่องไม้ขีดไฟ หรือในผลแอปเปิล พลังงานที่ถูกเก็บไว้สามารถนำมาใช้ได้ พลังงานสามารถเปลี่ยนแปลงได้ แต่ไม่สามารถถูกทำลายได้ เพียงแต่ถูกเปลี่ยนจากรูปหนึ่งไปอีกรูปหนึ่ง พลังงานสามารถถูกใช้ได้แต่จะใช้ให้หมดไปไม่ได้ พลังงานมีหน่วยวัดเป็นจูล( Joules) หรือกิโลวัตต์-ชั่วโมง
1. น้ำมันปิโตรเลียม
ประเทศไทยมีน้ำมันปิโตรเลียมในแหล่งต่าง ๆ ที่พิสูจน์แล้วไม่น้อยกว่า 174 ล้านบาร์เรล ในปัจจุบันประเทศไทยยังต้องสั่งเข้าน้ำมันปิโตรเลียมเป็นอัตราส่วนสูง เนื่องจากการผลิตในประเทศไทยยังต่ำกว่าปริมาณการใช้มาก การขุดเจาะและผลิตน้ำมันปิโตรเลียม จะก่อให้เกิดผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อมได้เช่นเดียวกับโครงการอื่น ๆ


2. ก๊าซธรรมชาติ
นับเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญของประเทศไทยในปัจจุบันปริมาณของก๊าซธรรมชาติในประเทศไทยที่พิสูจน์แล้วทั้งหมดมากกว่า 100 พันล้านลูกบาศก์เมตร และโอกาสที่จะพบเพิ่มเติมมีโอกาสสูงมากโดยเฉพาะในบริเวณอ่าวไทยซึ่งการผลิตก๊าซธรรมชาตินั้น สามารถนำมาผลิตเป็นมีเธน อีเทน และแอลพีจี ซึ่งใช้ประโยชน์เป็นเชื้อเพลิงสำหรับไฟฟ้าเชื้อเพลิงสำหรับหุงต้มและยานพาหนะ
3. ถ่านหินลิกไนต์
ประเทศไทยมีแหล่งถ่านหินลิกไนต์รวมทั้งหมด 72 แหล่ง กระจายอยู่ทั่วประเทศ แต่ที่มีการนำมาใช้ในปัจจุบันนี้ ส่วนใหญ่อยู่ภาคเหนือและภาคใต้ แอ่งที่จัดว่ามีปริมาณถ่านหินลิกไนต์มากได้แก่ แอ่งแม่เมาะ แอ่งกระบี่ ซึ่งได้มีการนำมาผลิตกระแสไฟฟ้า

4. พลังน้ำ
การผลิตพลังงานไฟฟ้าโดยอาศัยพลังน้ำ พลังน้ำจะสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าในราคาต้นทุนต่ำ แต่มีปัญหา สิ่งแวดล้อมที่ควรคำนึงเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะการสูญเสียเนื้อที่ป่าเป็นจำนวนมหาศาล เพื่อใช้เป็นอ่างเก็บน้ำเหนือเขื่อน ราษฎรในพื้นที่น้ำท่วมจึงจะต้องอพยพย้ายที่ตั้งถิ่นฐานใหม่ สัตว์ป่าต่าง ๆ จะสูญเสียที่อยู่อาศัยหรืออาจจะสูญพันธุ์ไปโดยไม่สามารถป้องกันได้
5. ไม้และถ่าน
แหล่งพลังงานของประเทศด้อยพัฒนาส่วนใหญ่ได้จากชีวมวล อันได้แก่ ไม้ฟืนและถ่าน แต่การใช้ป่าไม้เพื่อผลิตพลังงานนั้น จะก่อให้เกิดการทำลายป่าไม้อย่างรวดเร็ว ซึ่งจะเป็นผลต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศของโลกที่ได้มีการหวั่นวิตกอยู่ในปัจจุบัน การนำไม้มาใช้เพื่อเป็นแหล่งความร้อนและพลังงานทำให้ป่าปกคลุมโลกประมาณร้อยละ 20 ลดลงอย่างน่าเป็นห่วง 6. พลังงานรังสีอาทิตย์
ประเทศไทยเป็นประเทศที่จะได้รับรังสีอาทิตย์เฉลี่ยประมาณวันละ 17 เมกะจูลต่อตารางเมตร ซึ่งประเทศไทยได้ใช้ประโยชน์จากรังสีอาทิตย์มานานตั้งแต่ในอดีต แต่ยังมิได้ประเมินปริมาณรังสีอาทิตย์ที่ประเทศได้ใช้ในแต่ละปี ในปัจจุบันได้มีเทคโนโลยีที่ทันสมัยเพื่อนำรังสีอาทิตย์มาใช้ประโยชน์ในรูปแบบต่าง ๆ มากยิ่งขึ้น และสามารถจะเก็บสะสมไว้ในรูปของเซลความร้อนที่จะสามารถเรียกใช้ได้ตามเวลาที่ต้องการ
7. พลังงานนิวเคลียร์
ประเทศอุตสาหกรรมใช้ไฟฟ้าจากพลังงานนิวเคลียร์เป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากการใช้พื้นที่น้อยให้ปริมาณความร้อนสูง และเป็นการผลิตกระแสไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง โดยจะไม่ได้รับอิทธิพลจากองค์ประกอบนอกระบบ เนื่องจากระบบการผลิตเป็นการควบคุมการทำงานโดยอัตโนมัติ ประเทศไทยจึงควรพิจารณาการใช้พลังงานนิวเคลียร์ไว้เป็นทางเลือกสำหรับการผลิตกระแสไฟฟ้าในอนาคตแทนการสร้างเขื่อนซึ่งอาจจะมีปัญหาการใช้พื้นที่ หรือการใช้ถ่านหินที่อาจจะก่อให้เกิดผลกระทบมลพิษด้านอากาศ

เอดส์ คืออะไร ?


เอดส์ หรือ AIDS (Acquired Immune Deficiency Syndrome) เป็นกลุ่มอาการของโรค ที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเอดส์ ซึ่งจะเข้าไปทำลายเม็ดเลือกขาว ซึ่งเป็นแหล่งสร้างภูมิคุ้มกันโรค ทำให้ติดเชื้อโรคอื่นๆ ได้ง่ายขึ้น เช่น วัณโรค ปอดบวม เยื่อหุ้มสมองอักเสบ หรือเป็นมะเร็งบางชนิดได้ง่ายกว่าคนปกติ อาการจะรุนแรง และเป็นสาเหตุสำคัญของการเสียชีวิต

เอดส์ ติดต่อกันได้อย่างไร
1. การร่วมเพศ
2. การรับเชื้อทางเลือด
3. ทารก ติดเชื้อจากแม่ที่ติดเชื้อเอดส์


เอดส์ มีอาการอย่างไร
คนที่สัมผัสกับโรคเอดส์หรือคนที่ได้รับเชื้อเอดส์เข้าไปในร่างกายไม่จำเป็นต้องมีการติดเชื้อเอดส์เสมอไปขึ้นกับจำนวนครั้งที่สัมผัสจำนวนและความดุร้ายของไวรัสเอดส์ที่เข้าสู่ร่างกายและภาวะภูมิต้านทานของร่างกายถ้ามีการติดเชื้ออาการที่เกิดขึ้นมีได้หลายรูปแบบหรือหลายระยะตามการดำเนินของโรค
อาการของเอดส์ มี 2 ระยะ
1. ระยะไม่มีอาการ ผู้ติดเชื้อจะมีสุขภาพแข็งแรง ไม่มีอาการผิดปกติแต่อย่างใด ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่จะอยู่ในระยะนี้ และบางคนไม่ทราบว่า ตัวเองติดเชื้อ จึงอาจแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่นได้
2. ระยะมีอาการ ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่จะเริ่มแสดงอาการ ภายหลังจากได้รับเชื้อประมาณ 7-8 ปี แบ่งเป็น 2 ระยะ คือ
- ระยะเริ่มปรากฎอาการ อาการที่พบคือ มีเชื้อราในปาก ต่อมน้ำเหลืองโต งูสวัด มีไข้ ท้องเสีย น้ำหนักลด มีตุ่มคันบริเวณผิวหนัง
- ระยะโรคเอดส์ เป็นระยะที่มีภูมิต้านทานลดลงมาก ทำให้ติดโรคติดเชื้อฉวยโอกาสได้ง่ายขึ้น เช่น วัณโรค ปอดบวม เยื่อหุ้มสมองอักเสบ เป็นต้น
ป้องกันตัวเอง ไม่ให้ติดเชื้อเอดส์ ได้อย่างไร
รักเดียว ใจเดียว หากจะมีเพศสัมพันธ์กับหญิง ควรใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง ที่มีเพศสัมพันธ์ ขอรับบริการปรึกษา เรื่อง โรคเอดส์ ก่อนแต่งงาน และก่อนที่จะมีบุตรทุกท้อง ไม่ดื่มเหล้า และงดใช้สารเสพติดทุกชนิด


เราสามารถป้องกัน โรคเอดส์ ได้โดย
1. ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง ที่มีเพศสัมพันธ์
2. รักเดียว ใจเดียว
3. ก่อนแต่งงาน หรือมีบุตร ควรตรวจร่างกาย ตรวจเลือด และขอรับคำปรึกษาเรื่อง โรคเอดส์ จากแพทย์ก่อน
4. งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และงดใช้สารเสพติดทุกชนิด



อ้างอิง:http://www.youtube.com/watch?v=qERZPGtwHyU
http://health.kapook.com/view2757.html

"นมดี แต่อย่าดื่มเกินวันละ 2 กล่อง "


ข้อมูลจากมูลนิธิโรคกระดูกพรุนนานาชาติระบุว่า นมและผลิตภัณฑ์จากนมอื่น ๆ จัดอยู่ในกลุ่มที่มีแร่ธาตุแคลเซียมสูงสุด ซึ่งแคลเซียมเป็นสารอาหารที่มีความสำคัญมากในการเสริมสร้างกระดูก
การดื่มนมประจำช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุน
ที่มีผลกระทบต่อผู้หญิง 1 ใน 3 และผู้ชาย 1 ใน 5 ทั่วโลกอายุ 50 ปีขึ้นไป และคาดการณ์ว่าในปี 2050 แถบเอเชียจะมีผู้ป่วยโรคกระดูกพรุนเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 50 โดย อัตราดื่มนมในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ประเทศออสเตรเลียดื่มนม 102 ลิตรต่อคนต่อปี มาเลเซีย 50 ลิตรต่อคนต่อปี ในขณะที่ไทย 13.36 ลิตรต่อคนต่อปี
การเกิดโรคกระดูกพรุนไม่มีสาเหตุ
แต่มาพร้อมวัยเหมือนการเข้าสู่วัยชรา กระดูกมีมวลหรือเนื้อน้อยลง จึงเปราะบางและแตกหักง่าย การป้องกันคือต้องเร่งสร้างและสะสมมวลกระดูกให้แข็งแรงตั้งแต่วัยเด็กถึงวัยชรา ด้วยการสะสมแคลเซียม โปรตีนและวิตามินดีจากการดื่มนม เพื่อให้ได้รับแร่ธาตุที่มีส่วนต่อการเจริญเติบโตของกระดูก
ทว่านมอย่างเดียวไม่เพียงพอ
ต้องมีอย่างอื่นเสริม อาทิ ปลาเล็กปลาน้อย ปลาร้า เป็นต้น มีผู้แนะนำว่าในแต่ละมื้ออาหารต้องโรยด้วยปลาป่นหรือกุ้งแห้งป่น ส่วนในผักแคลเซียมสูง เช่น ผักโขม ไม่สามารถให้แคลเซียมแก่ร่างกายได้เนื่องจากไม่มีตัวดูดแคลเซียม ผักให้แคลเซียมแก่ร่างกายได้ คือผักคะน้า บรอกโคลี ผักกาด เป็นต้น

นมที่ดีสุดคือนมสด มีสารอาหารและโปรตีนจำนวนมาก
ซึ่งโปรตีนเคซิน เป็นโปรตีนเด่นที่สุด จับแคลเซียมเก่งช่วยสร้างความสูงให้ร่างกาย ควรดื่มวันละ 500 ซีซี หรือ 2 กล่อง หากเกินจากนี้ก่อให้เกิดผลเสีย เนื่องจากไปกระตุ้นต่อมพาราไทรอยด์ (ต่อมข้างไทรอยด์)
ซึ่งไปสลายกระดูก แต่ในวัยเด็กสามารถดื่มนมได้วันละ 500-800 ซีซี โดยเฉพาะเด็กที่ใช้พลังงานสูงออกกำลังกายเหงื่อออกมาก เพราะฟอสฟอรัสที่เกินจะถูกใช้เป็นพลังงาน ไม่สามารถกระตุ้นต่อมพาราไทรอยด์ได้ ส่วนเด็กที่อยู่เฉย ๆ ควรดื่มนมเท่าผู้ใหญ่”

ผู้เกิดอาการท้องเสีย ท้องอืดเมื่อดื่มนม
เกิดจากร่างกายขาดน้ำย่อยน้ำตาลในนมหรือน้ำตาลแลคโตส แนะนำว่าควรดื่มวันละอึก ๆ เป็นการกระตุ้นเรื่อย ๆ และหลีกเลี่ยงการดื่มนมขณะท้องว่าง แต่หากไม่สำเร็จแนะนำผสมนมสด 250 ซีซี กับนมเปรี้ยว 250 ซีซี แช่ตู้เย็น 1 คืน ก่อนแบ่งดื่ม

เนื่องจากในนมเปรี้ยวมีแลคโตบาซิลัส
เชื้อโรคที่มีคุณต่อร่างกาย จะกินตัวน้ำตาลแลคโตส นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ที่ยับยั้งการดูดแคลเซียม เช่น เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เครื่องดื่มที่มีกาเฟอีน บุหรี่
รวมถึงการรับประทานอาหารไขมันสูงและเกลือสูง และที่ผ่านมาเข้าใจกันว่าดื่มนมแล้วเป็นมะเร็ง ซึ่งองค์การอาหารและยาในประเทศอังกฤษยืนยันว่าการดื่มนม 500 ซีซี ต่อวันไม่เป็นสาเหตุเกิดมะเร็ง นอกจากผู้ดื่มนม แล้วไปกินอาหารทอดในปริมาณมาก คงเป็นไขมันอื่นที่ได้รับเป็นสาเหตุเกิดมะเร็ง.

วันจันทร์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ล้างพิษด้วยชาเขียว


ชาเขียว ได้รับการยกย่องว่าเป็นเครื่องดื่มที่มีสรรพคุณเป็นยาบำบัดมายาวนาน และยังสอดคล้องกับผลการวิจัยในห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์อีกด้วย โดยเฉพาะคุณสมบัติที่โดดเด่นของชาเขียวก็คือการช่วยล้างพิษออกจากร่างกายได้ลึกถึงระดับเซลเลยทีเดียวค่ะ


การวิจัยพบว่า Polyphenols ในชาเขียวสามารถออกฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระช่วยกระตุ้นการทำงานของเอ็นไซม์ที่ทำหน้าที่ขจัดสารพิษในตับ ยับยั้งการแบ่งตัวของเซลมะเร็ง และพัฒนาการของแบคทีเรียที่มีประโยชน์ในลำไส้

เราอาจจะสรุปกลไกการทำงานของชาเขียวในการล้างพิษได้ดังนี้
1. ฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระของชาเขียวช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดแข็งตัว โรคหัวใจ ชะลอความชรา ลดขบวนการทำลายสารพันธุกรรมและยับยั้งการก่อมะเร็ง
2. ความจำเพาะเจาะจงในการกระตุ้นเอ็นไซม์ที่ทำหน้าที่ขจัดสารพิษในตับของชาเขียวช่วยเพิ่มขบวนการขจัดสารพิษที่ได้รับจากอาหาร ยา แลสารพิษอื่นๆ ได้ดีขึ้น และทำให้สุขภาพของตับดีขึ้นด้วย
3. ความสามารถในการยับยั้งการแบ่งตัวของเซลมะเร็งของชาเขียว ช่วยลดการเจริญเติบโตของเซลที่ผิดปกติ เนื้องอก และเซลมะเร็งได้
4. ชาเขียวช่วยให้แบคทีเรียที่มีประโยชน์ในลำไส้มีการพัฒนาการทำงานได้ดีขึ้น จึงลดการแทนที่จากแบคทีเรียที่ไม่ดีได้ ส่งผลให้การเผาผลาญอาหารได้ดีขึ้น
5. ช่วยลดคลอเรสเตอรอล LDL และเพิ่ม HDL ซึ่งเป็นไขมันที่ดี ชาเขียวจึงช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคไขมันอุดตันหลอดเลือดได้ ซึ่ง)เป็นผลดีต่อหัวใจและสมองเราด้วยค่ะ
6. ชาเขียวสามารถยับยั้งการเติบโตของแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดกลิ่นปาก ป้องกันฟันผุ และบรรเทาอาการเหงือกอักเสบ
7. ชาเขียวยังช่วยควบคุมน้ำหนักโดยออกฤทธิ์ร่วมกับ Caffeine ในการเพิ่มอัตราการเผาผลาญพลังงาน ในระหว่างวันของร่างกายให้มากขึ้น
ขนาดในการรับประทานที่เหมาะสม
* วันละ 750 มก. สำหรับผู้ที่ต้องการล้างพิษเพื่อความสดใส
* วันละ 1500 มก. สำหรับผู้ที่ต้องการล้างพิษเพื่อฟื้นฟูสภาพร่างกาย

http://www.truelife4you.com/
แหล่งที่มา : Ladytip.com